ชีวประวัติของพระยาพรหมโวหาร
บรมครูค่าว รัตนกวีแห่งล้านนาไทย พ.ศ.
๒๓๔๕-๒๔๓๐
พระยาพรหมโวหารเกิดในปี๒๓๔๕ ณ
ที่บ้านหน้าวัดทรงธรรมหรือวัดไทยใต้ของเมืองลำปาง
บิดาชื่อท่านแสนเมืองมา ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากเจ้าเจ็ดตน เป็นขุนนางของเจ้าหลวงผู้ครองเมืองลำ
ปางในสมัยนั้น มารดาชื่อวันเพ็ญหรือวันเป็ง เดิมชื่อพรหมมินทร์
เมื่อเจริญเติบโตขึ้นอายุ๑๗ปีก็ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดสิงห์ชัย เมื่ออายุครบ๒๐ปีก็ได้อุปสมบทเป็นพระที่วัดสิงห์ชัยนั่นเอง
เมื่อครองสมณะเพศพระพรหมมินทร์มีความสามารถในการเทศน์ กัณฑ์กุมารและมัทรีฉบับพื้น
เมืองเสียงดีมาก ใครๆได้ฟังก็หลงใหลในเสียงไม่รู้เบื่อ เล่าต่อกันในสมัยนั้นว่าใครไม่ได้ฟังเสียง
พระพรหมมินทร์เทศน์ก็นับว่าเสียชาติเกิดทีเดียว เมื่อพระอาจารย์เห็นว่าพระพรหมมินทร์เก่งกล้าในภาษาพื้นเมืองและเทศน์แล้ว ก็ได้นำท่านไปฝากเรียนอักขระบาลีที่วัดสุกขมิ้นเชียงใหม่จนจบอักขระบาลีจากอาจารย์ปินตาได้๓ปี
ก็ได้ขอลากลับไปยังเมืองลำปางแล้วก็ลาสิกขาในเวลาต่อมา
เมื่อลาสิกขาออกมาก็จับเอาชีพเป็นอาลักษณ์นักเลงทำเพลงยาว ค่าวฮ่ำรำพึงรำพันจนโด่งดังไป
เขมร-ลาวลือเลื่องถึงเมืองนครอย่างเดียวกับสุนทรภู่
(พรหมมินทร์อยู่ส่วนภูมิภาคจึงไม่มีผู้รู้จักมาก
เหมือนสุนทรภู่ที่อยู่ส่วนกลาง)
ในสมัยนั้นทางเมืองล้านนาพ่อหนุ่มคนไหนพอใจแม่หญิงคนใดก็จะมาว่าจ้างพรหมมินทร์แต่งจดหมาย เป็นค่าวหรือกวีของคนเมืองล้านนาซึ่งนิยมกันเมื่อ๕๐-๖๐ปี
ก่อน
จนกระทั่งสำเร็จตายใจได้แต่งงานอยู่กันอย่างมีความสุขทุกรายไป
เมื่อมีชื่อเสียงโด่งดังก็ได้เข้าไปรับใช้เจ้าพ่อเมืองลำปางและเป็นที่โปรดปรานมาก จนท่านวาง
ใจใช้ให้ไปซื้อช้างเผือกที่เมืองแพร่ โดยให้เงินเดินทางไปเมืองแพร่ตามรายทางมีบ่อนการพนัน-สุ
รา-นารีเพลินใช้เงินจนหมด ตกลงไม่มีเงินซื้อช้างก็เขียน (กวีค่าว)
เรื่องช้างขึ๊ด (หรือช้างอาเพศ)
ส่งฝากลูกหาบเดินทางมาให้เจ้าเมืองลำปาง
พ่อเจ้าเมืองลำปางรู้ความจริงเลยคาดโทษพรหมมินทร์กลับลำปางเมื่อใดหัวขาดจากบ่าทันที
เมื่อกลับลำปางไม่ได้พรหมมินทร์อยู่ที่เมืองแพร่ ด้วยเห็นเป็นกวีฝีปากเอกเจ้าพ่อเมืองแพร่จึง
ได้โปรดให้เป็นกวีประจำสำนัก
สามารถเข้านอกออกในได้เป็นที่ชอบพอของสาวสนมกรมใน จน
ได้ไปรู้จักชอบพอกับสาวศรีจมสาวใช้ในวังคนหนึ่งเป็นพิเศษในวังหลวงเจ้าเมืองแพร่ก็ได้ความเอ็น
ดูจากหม่อมสนมนางหนึ่งของเจ้าพ่อเมืองแพร่ ได้ให้ที่พักผ่อนอาศัยหลับนอนด้วยความสุจริตใจ
แต่ก็ได้รับความระแวงสงสัยจากเจ้าเมืองแพร่
ได้ให้จับพรหมมินทร์ขังคุกและให้ทำการประหารชีวิตเสีย
ก่อนถึงวันประหารพรหมมินทร์ก็ได้แหกคุกหนีออกมา พรหมก็ไปรับศรีจมคู่รักพากันหนีไปอยู่ที่เมืองลับแลอุตรดิตถ์
ทำมาค้าขายเลี้ยงครอบครัวซึ่งอยู่ได้ไม่นานศรีจมก็ถูกพรากไปจาก
อ้อมอก เมื่อพรหมไปค้าขายแรมเดือน กลับมารู้ว่าศรีจมถูกพรากไปก็เสียใจมาก ได้เขียนค่าวสี่-
บทบรรยายไว้ อันเป็นบทประพันธ์ค่าวที่อมตะสืบมาจนทุกวันนี้
ไม่มีศรีจมอยู่ลับแลไม่ได้แล้ว กลับเมืองแพร่-ลำปางก็ไม่ได้ ระหกระเหิรเดินทางสู่เชียงใหม่
บุญและวาสนายังพอมีก็ได้มาเป็นกวีแก้วคู่พระทัย ของเจ้าแม่ทิพย์เกสร ชายาเจ้าพ่ออินทวิชยานนท์
ผู้ครองนครเชียงใหม่ และให้ประทานยศถาบรรดาศักดิ์ให้เป็นที่ “พระยาพรหมโวหารปฏิภาณกวี
ศรีนครเชียงใหม่”
พร้อมด้วยข้าวของเงินทองและบ้านช่องห้องหอ
เรือกสวนไร่นาข้ารับใช้ ท่าน
ก็ได้ครองสุขอยู่กับสาวเจ้าบัวจันทร์ ณ
เชียงใหม่ จนกระทั่งถึงปี พ.ศ.๒๔๓๐ท่านก็ได้อำลาโลกนี้ไปตามอายุขัย รวมอายุได้๘๕ปี โดยได้ทิ้งผลงานประพันธ์อันยิ่งใหญ่ไว้คู่บรรณโลก โดย-เฉพาะค่าวสี่บท คำจ่มพระยาพรหม พร้อมด้วยบทประพันธ์อื่นๆอีกมากมาย
รูปัง ชีระติ
มัจจานัง นามะโคตตัง นะชีระติ
พรหมมินทร์สิ้นแล้วซึ่งชีวิตและสังขาร
แต่ผลงานชื่อเสียงของท่านยังคงอยู่คู่ล้านนาของเรา ตราบเท่านิรันดร
นายถนอม ปาจา
ครูภูมิปัญญาไทยรุ่นที่๗ สาขาภาษาและวรรณกรรม เรียบเรียง
๒๗ กรกฎาคม
๒๕๕๖